เทศน์เช้า วันที่ ๗ กันยายน ๒๕๔๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาหัวใจ เห็นไหม เวลาเราทำอาหาร ถ้าอาหาร น้ำ มันมาก เราต้มอาหาร เราอุ่นอาหารแล้วน้ำนี้มันมาก รสชาติมันจะจืดชืด ถ้าเราเคี่ยวจนน้ำนี้มันแห้ง จนน้ำนี้มันเข้ม มันงวดเข้าไปนี่ อาหารรสชาติมันจะดี รสชาติมันจะเข้มข้นไง
ความเข้มข้นของใจ นี่ก็เหมือนกัน การประพฤติปฏิบัติเราเร่ร่อน เราปล่อยใจเราไป เหมือนกับเราจะทำอาหารเข้าไป น้ำนี้มันเจิ่งนอง รสชาติไม่มีเลย รสชาติมันจืดชืด รสชาติไม่มี เราก็เคี่ยวของเรา เคี่ยวของเรา เคี่ยวเพื่อจะให้น้ำนี้มันงวดเข้าๆ เพื่อจะให้รสชาติอาหารมันอร่อยขึ้นมาใช่ไหม นั้นเป็นเรื่องของในหม้อข้าวหม้อแกงในการทำอาหารนะ แต่ในหัวใจนี่เราจะป้านอย่างไร เราจะทำอย่างไร เราจะกั้นอย่างไรให้หัวใจเรายืนขึ้นมาได้
เวลามันงวดเข้ามา งวดเข้ามา ยิ่งงวดเข้ามานี่อาหารรสชาติมันยิ่งเข้มข้น แต่ในการประพฤติปฏิบัติ เวลางวดเข้าไป งวดเข้าไป มันจะดูใจเข้ามาไง หาที่ใจให้ได้ เราอ่านหนังสือของอาจารย์สิงห์ทอง ท่านบอกเลย คนภาวนาเป็นต้องเห็นจิต คนภาวนาเป็นต้องเห็นจิต คนภาวนาเป็นต้องเห็นจิต ต้องจับตัวจิตได้ ต้องพิจารณาจิตได้ ต้องเห็นความรู้สึกของมัน
แต่เวลานามธรรม เขาว่า จิตนี้เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ จับต้องไม่ได้ นี่คนภาวนาไม่เป็นก็พูดไปอีกอย่างหนึ่ง เห็นไหม เพราะอะไร เพราะมันจับไม่ได้ มันคาดหมายไม่ได้ มันจินตนาการไม่ได้ สิ่งที่จินตนาการไม่ได้เพราะมันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นความจริงเกิดขึ้นมาจากหัวใจของเราใช่ไหม ถ้าน้ำนี้มันงวดเข้ามา เราเข้มงวดเข้ามา เข้มงวดเข้ามาต้องตั้งสติให้ดีสิ ตั้งสติให้ดี ตั้งสติของเรานะ
เรื่องสิ่งกระทบ เรื่องภายนอก ปล่อยมัน เพราะอะไร เพราะเรื่องความคิดของเรา เรื่องใจของเรา มันคิด เกิดดับๆ เรายังจะวางมันเลย เราจะวางความคิดที่มันหลอกล่อหัวใจให้หัวใจมันคิดออกไปตามความคิด เรายังจะวางความคิดของเรา ความคิดของเรา ความเห็นของเรา เรายังต้องการจะวางมัน แล้วสิ่งกระทบจากภายนอก เราจะไปยุ่งกับเขาทำไม สิ่งที่กระทบจากภายนอก เราต้องคิดให้ทันใช่ไหม สรรเสริญ นินทา เราจะดีขนาดไหน เขาว่าเราเลว เราก็ดีของเราอยู่อย่างนั้น เราจะเลวขนาดไหน เขาจะชมว่าเรายอดเยี่ยมขนาดไหน เราก็เลวของเราอยู่อย่างนั้น เห็นไหม มันไม่ได้อยู่ที่คำชมคำติฉินนินทาของผู้ใดทั้งสิ้น
สิ่งที่เป็นการกระทบกระเทือนกันมันเป็นเรื่องภายนอก มันก็เป็นเรื่องที่ว่าไม่มีความหมายทั้งสิ้น ถ้าไม่มีความหมายทั้งสิ้น เราจะปล่อยวางสิ่งนั้นเข้ามา ปล่อยวางสิ่งนั้นเข้ามาเพื่ออะไร? เพื่อย้อนกลับมา เพื่อดูแต่หม้อของเรา ดูแต่ภาชนะที่ใส่อาหารของเรา ก็คือดูใจของเรา ถ้าเห็นใจของเราขึ้นมา
นี่วันพระวันเจ้า วันประพฤติปฏิบัตินี่ ความประพฤติปฏิบัติ เวลาบอกว่ากฎหมาย กฎต่างๆ ก็อยู่ในโลกนี้ แต่เวลาประพฤติปฏิบัตินี่มันตั้งแต่อดีตชาติมาปัจจุบัน แล้วไปอนาคต สิ่งที่ไปอนาคต เพราะจิตดวงนี้มันจะไปอนาคตไง ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงว่า ไม่ขัดกับอดีต ไม่ขัดกับปัจจุบัน แล้วก็ไม่ขัดกับอนาคต
แต่ถ้าเป็นกฎหมายบ้านเมือง แต่เป็นความเห็นของเรา มันจะขัดแย้งกันไปตลอดเลย เพราะอะไร เพราะความเห็น เห็นไหม สมมุติก็ต่างกันแล้ว ประเทศหนึ่ง กฎหมายหนึ่งก็ต่างกัน ในประเทศหนึ่งที่เขามีการแบ่งเป็นสาธารณรัฐ สาธารณรัฐนี่เขาแบ่งกันไป แม้แต่กฎหมายในรัฐหนึ่งก็ไม่เหมือนกัน สิ่งที่ไม่เหมือนกัน แม้แต่ในสมมุตินี้มันก็ยังขัดกันเลย
แต่ถ้าในการประพฤติปฏิบัติ หัวใจนี้มันจะขัดกันไม่ได้เลย มันจะไปเป็นช่องๆ ของมัน เป็นช่องๆ ของมัน เพราะอะไร เพราะถ้าเราปฏิบัติไปในปัจจุบันนี้ เราเป็นโสดาบัน เราตายไป โสดาบันมันจะติดกับใจดวงนั้นไป สิ่งที่ใจดวงนี้ตายไปอยู่ที่ไหน เกิดชาติไหนมันก็เป็นโสดาบันอยู่อย่างนั้นตลอดไป แต่เวลาเราเกิดขึ้นมาอีกชาติหนึ่งๆ เราจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็แล้วแต่ เราไม่รู้เรื่องของเรา แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันจะเข้ามาถึงตรงนี้ มันจะผ่านไปได้
ขิปปาภิญญา เห็นไหม ที่เขาบอกว่า ทำไมต้องผ่านโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค แต่เวลามันผ่านเป็นขิปปาภิญญานี่ทีเดียวมันทะลุก็ได้ นี่อำนาจวาสนา อำนาจวาสนาของจิตแต่ละดวงไม่เหมือนกัน เห็นไหม จากอดีตมาในปัจจุบันนี้ ถ้าอดีตมาดี ในปัจจุบันนี้มันจะราบรื่นมาก ราบรื่นในการประพฤติปฏิบัตินะ แต่กิเลสไม่ยอมให้ใครราบรื่นเลย คนเราจะมีความสุข จะมีอำนาจวาสนา จะมีบุญญาธิการขนาดไหน แต่กิเลสมันละเอียดอ่อนนะ คนยิ่งละเอียดอ่อนขนาดไหน กิเลสมันก็ยิ่งละเอียดอ่อนขนาดนั้นนะ
ละเอียดอ่อน เห็นไหม ดูอย่างเรา เราทุกข์เรายากนี่เราไม่ต้องการสิ่งใด เรามีสิ่งใดสนองตอบชีวิตของเรา เราพอใจแล้ว แต่คนที่เขามีอย่างมหาศาลเลย เขาต้องการสิ่งใด เขาต้องมีความละเอียดอ่อนมากกว่านั้นใช่ไหม สิ่งที่เขาต้องการนั้นมันจะเป็นสิ่งที่ว่าในโลกนี้แทบจะหาได้ยากมาก เพราะอะไร เพราะสิ่งที่มีทั่วไปเขาได้หมดแล้ว นี่ความสุขความทุกข์เขาก็ต้องหาได้มาก เขาต้องหาสิ่งที่ตอบสนองใจเขามากขนาดนั้น
ถึงบอกว่า คน ถ้ามีความละเอียดอ่อนขนาดไหนแล้วแต่ เวลาประพฤติปฏิบัติ กิเลสมันก็ละเอียดอ่อนขนาดนั้น มันก็ต้องใช้ปัญญามากขนาดนั้น เหมือนกับกรรมกรแบกหาม เขาทำอย่างไร ชีวิตเขาถึงดำรงอยู่ได้ แต่ถ้าเป็นพวกที่ว่ามีการศึกษา เป็นพวกหมอพวกแพทย์ การดำรงชีวิตของเขาก็ไปอีกอย่างหนึ่ง
จิตก็เหมือนกัน ตั้งแต่อดีตชาติมันสะสมมา สะสมความเป็นไปของมันมาอย่างนี้ มันจะเป็นไปของมัน นี่ความเป็นไปของมัน มีอำนาจวาสนา ไม่มีอำนาจวาสนา วัดกันตรงนี้ไง แต่มีอำนาจวาสนา ไม่มีอำนาจวาสนา เรื่องกิเลสมันก็คือกิเลส เรื่องกิเลสที่ว่ามันพลิกแพลงอยู่ในหัวใจนี้มันก็ต้องพลิกแพลง ต้องทำให้เราผิดพลาด ผิดพลาดนะ ละเอียดอ่อนก็ผิดพลาดในละเอียดอ่อน แล้วก็แสวงหาออกจากภายนอก จะหยาบขนาดไหน มันก็ทำให้ผิดพลาดขนาดนั้น ความที่ผิดพลาด เห็นไหม
เราจะเคี่ยว เราจะทำอย่างไรให้จิตของเราพยายามแสวงหาสิ่งนี้ ถ้าทำสิ่งนี้ได้ไง นี่ศาสนาเจริญ เจริญตรงนี้นะ เจริญในการประพฤติปฏิบัติ ถ้าศาสนาเจริญตรงนี้ หลักเกณฑ์ของเรามี นี่มันน่าสลดสังเวช เห็นไหม ในการประพฤติปฏิบัติ ประพฤติปฏิบัติทั่วไปหมดเลย นี้ประพฤติปฏิบัติ แล้วตอนนี้ ในชาวพุทธเรานี่เวลาสิ่งที่ว่าเขามาจากต่างศาสนา เขามาบอกวิธีการ นี่ลัทธิต่างๆ เชื่อเขาหมดนะ เพราะอะไร เพราะเขาเป็นทางวิทยาศาสตร์ เขาเป็นทางยุโรปมา เราจะเชื่อเขานะ เชื่อเขาแล้วก็ไปเข้าของเขานะ
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่สิ่งที่ว่าเราเชื่อพระรัตนตรัย รัตนะสิ่งที่เป็นแก้วสารพัดนึกของเรา เรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่เราปล่อยสิ่งนี้ไป แล้วเราไปเชื่อของเขานี่มันหยาบออกไปจากภายนอกไง แต่เราก็เชื่อเขา นี่ในการประพฤติปฏิบัติไง ประพฤติปฏิบัติว่าประพฤติปฏิบัติทั้งหมดเลย แต่เพราะไม่มีครูอาจารย์ชี้นำ นี่มันน่าสลดสังเวช มันไม่มีครูบาอาจารย์ชี้นำ
ย้อนกลับไปหลวงปู่มั่นนะ เวลาท่านไม่มีครูบาอาจารย์ ท่านไปหมด เพราะอ่านประวัติของท่านแล้วท่านไปหมด แล้วเล่าให้ครูบาอาจารย์ฟัง เข้าไปในพม่า ไปจำพรรษาในพม่าก็ไป ไปทุกที่ เพราะอะไร เพราะเวลาคนเรามันเข้าด้ายเข้าเข็ม มันหาทางออก มันจะหาคนชี้นำ มันอึดอัดในหัวใจมาก จะทุกข์ยากขนาดไหน มันจะดั้นด้นไปหาบุคคลคนนั้นนะ
ถ้ามันดั้นด้นไปหาบุคคลคนนั้น ขอให้ใครก็ได้ชี้ทางให้เรา ขอให้ใครก็ได้ชี้ทางให้เรา มันจะไปให้ได้ แล้วไม่มีใครชี้ทางให้เรา หม้อข้าวหม้อแกงเรามันก็เคี่ยวอยู่อย่างนั้นน่ะ ขลุกขลิกๆ อยู่อย่างนั้นนะ แล้วถ้าเกิดไฟมันดับล่ะ ถ้าเกิดสมาธิมันเสื่อมล่ะ ถ้าเกิดหมดศรัทธาขึ้นมาล่ะ ถ้าไฟดับขึ้นมานี่หม้อข้าวหม้อแกงนั้นก็บูดก็เน่าก็เสียไป
ชีวิตเราก็เหมือนกัน ในปัจจุบันนี้เรามีความเข้มแข็งขนาดไหน เรามีความจงใจขนาดไหน แล้วเราพยายามติดไฟไว้ ติดไฟไว้ ไม่ให้ไฟมันดับนะ ถ้าไม่ให้ไฟมันดับ นี่ชำนาญในวสี แล้วหน้าที่ใส่ไฟตลอดไป สัมมาสมาธิ ทำความสงบของใจ หน้าที่ใส่ไฟอย่างเดียวนะ ไม่ใช้ปัญญาอะไรเลย เอาอาหารใส่หม้อก็ไม่รู้จะใส่อย่างไร เครื่องปรุงจะทำอย่างไรก็ไม่เข้าใจ นี่มรรคยังไม่เกิดไง
ขณะที่รักษาไฟเพื่อจะอุ่นไว้ไม่ให้เน่าให้เสียก็อันหนึ่ง เวลาที่เราจะปรุงอาหารของเรา เครื่องปรุงต่างๆ เราจะใส่ไปในอาหารของเราให้อาหารเรากลมกล่อม ถ้ากลมกล่อม กลมกล่อมคือมันมรรคสามัคคี มันมีอำนาจของมันขึ้นมาไง พอรสชาติมันกลมกล่อม มันกินได้ มันอร่อยขึ้นมา นี่กิเลสเหมือนกัน กิเลส ถ้าสิ่งที่ว่ามันกลมกล่อมขึ้นมา มันมรรคสามัคคีขึ้นมา มันจะทำลายกิเลสได้ ทำลายกิเลสได้
ถ้าทำลายกิเลสได้ มันจะเห็นความเป็นไปไง นี่ไง ฆ่ากิเลสตรงนี้ไง นี่ฐานของใจ คือสิ่งที่เกิดเริ่มต้นจากความคิด สิ่งที่เริ่มต้นจากความคิด ภวาสวะ ภพของใจ ภวาสวะอันนี้มันเวียนตายเวียนเกิด นี่ว่าแกนของชีวิต แกนของวัฏฏะ วัฏฏะจริงๆ นะ แกนของวัฏฏะมันหมุนไปตามวัฏฏะนี้ วัฏฏะนี้อยู่ในแกนอันนี้ แล้วถ้าพลิกคว่ำแกนอันนี้ได้นะ แกนอันนี้คือภวาสวะ แต่ต้องทำจากข้างนอกเข้าไปเริ่มต้นก่อน
ในการประพฤติปฏิบัติเริ่มต้น ในการสมัครงาน เข้าไปฝึกหัดงานครั้งแรก เราทำอะไรไม่เป็นเลย แต่ถ้าเราฝึกหัดงานเข้าแล้ว เราเข้าไปทำงานกับเขา ในกระบวนการการทำงาน เราไปได้หมดเลย แต่ถ้าเมื่อไหร่เขาให้เราเป็นผู้บริหารในองค์กรนั้น ผู้บริหารนี้เริ่มต้นจากการสมัครงาน เริ่มต้นจากทำครั้งแรก ตอนที่ทำกันอยู่ตรงนี้มันจะทุกข์ยากมาก เพราะเราจะฝึกงาน ฝึกงานให้เป็นแล้วประพฤติปฏิบัติไป เห็นไหม โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีขึ้นไปนี่ งานของเรามันจะต่อเนื่องกันไป
พอเป็นผู้บริหาร นี่ภพของใจ ถ้าเข้าไปถึงภพของใจ เป็นผู้บริหาร นี่งงอีกแล้วนะ เราจะบริหารไปอย่างไร เราจะพาองค์กรของเราไปได้อย่างไร เราจะคว่ำวัฏจักรได้อย่างไร สิ่งที่จิตนี้เป็นเจ้าวัฏจักร เราจะคว่ำสิ่งนี้อย่างไร พอคว่ำสิ่งนี้หมดสิ้น เราเป็นผู้บริหาร แล้วเรากำนโยบาย เราทำนโยบายนั้นสำเร็จเสร็จสิ้นทุกอย่าง เราพลิกสิ่งนี้ทั้งหมดเลย พลิกปั๊บ นโยบายลบล้างกันทั้งหมด ถ้าลบล้างอย่างนี้ นี่ในวัฏฏะหมดไป วัฏฏะหมดไป จิตนี้มีอยู่ เพราะจิตนี้เป็นผู้คว่ำวัฏฏะ เห็นไหม อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ...ยถาภูตํ ญาณทสฺสนํ ญาณหยั่งรู้ว่าสิ้นไปจากกิเลส
ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เรามีความจงใจของเรา เราตั้งใจของเรา เราจะได้ผลอันนี้แน่นอน ได้ผลอันนี้แน่นอนเพราะอะไร เพราะว่าถ้าเราไปแสวงหาสิ่งใดนี่ เราต้องมีภาชนะไปใส่สิ่งนั้นใช่ไหม นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อเรามีใจไง ใจมันทุกข์ยากอยู่ ใจมันทุกข์ร้อนอยู่อย่างนี้ สภาวะของใจตัวนี้มันจะเป็นความสุข สภาวะใจตรงนี้มันจะคว่ำชีวิตของมันเอง ถ้าสภาวะใจตรงนี้ ภาชนะนี้ นี่นิพพานสัมผัสได้ที่หัวใจ หัวใจเท่านั้นสัมผัสธรรมทั้งหมดเลย
แล้วถ้าธรรมทั้งหมด เรามีหัวใจ เพราะเรามีความรู้สึกอยู่ เรามีธาตุรู้อยู่ ถ้าเรามีหัวใจนี่เรามีภาชนะ แล้วเราจะใส่ธรรมอันนี้ได้ไหม ถ้าเราใส่ธรรมอันนี้ได้ นี่เรามีโอกาส ถ้ามีวาสนา นี่เราอุ่นไฟของเราตลอดเวลา โอกาสมันก็จะอยู่กับเราตลอดไป ถ้ามีใจดวงนี้ ใจดวงนี้สัมผัสต่างๆ แล้วใจดวงนี้พลิกคว่ำตรงนี้ นี่ผู้บริหารนโยบายตรงนี้ แล้วถ้าผู้บริหารนโยบายพลิกคว่ำทั้งหมดเลย ผู้บริหารนโยบายก็เป็นเจ้าของทั้งหมดเลย ทั้งหมดเลยนะ นี้เป็นนิพพานไง แต่นี่เป็นบุคลาธิษฐาน ถ้าพูดอย่างนี้มันเป็นอัตตา อัตตาแน่นอน อัตตา เพราะอะไร เพราะสื่อไง จากผู้ใหญ่พูดให้เด็กน้อยมันฟัง มันก็ต้องทำสภาวะแบบนี้ แต่ถ้าถึงที่สุดแล้วมันจะเข้าใจกัน เห็นไหม มันเป็นปัจจัตตัง มันเป็นมาจากใจดวงนั้น มันจะไม่มีสิ่งใดเข้ามาต่อเติม เข้ามาต่อสิ่งนี้ได้ เพราะอะไร เพราะมันคว่ำวัฏจักรแล้ว แกนอันนี้มันพลิกวัฏจักร
แกนของโลก แกนของธรรม แกนต่างๆ มันเป็นสภาวะ แกนคือตัวอวิชชา แกนคือตัวภวาสวะ แกนคือตัวภพ แกนคือตัวเริ่มต้น เห็นไหม ถ้าภาวนาเป็นจะเห็นจิตอย่างนี้ แล้วทำลายจิตอย่างนี้ นี่คือศาสนาพุทธเรา
พุทธศาสนาเป็นสิ่งที่ว่าชำระกิเลส
พุทธศาสนาเป็นปัญญาพุทธะ
สิ่งนี้สำคัญมาก สำคัญมาก ถ้าปัญญาพุทธะ เห็นไหม เราจะเกิดขึ้นมาจากหัวใจของเรา เราจะประพฤติปฏิบัติของเรา ถ้าเราเป็นชาวพุทธ เราจะสมประโยชน์ของเรา เราเป็นชาวพุทธ เราอยู่กับสิ่งที่มีคุณค่ามหาศาลเลย
โลกเขาจะเปลี่ยนแปลงสภาวะอย่างไร เป็นเรื่องของเขา แต่ใจของเรา เห็นไหม โลกนอก โลกใน โลกคือหมู่สัตว์ โลกคือมนุษย์คนหนึ่ง โลกคือพระองค์หนึ่ง โลกคือผู้ประพฤติปฏิบัติคนหนึ่ง แล้วโลกของเขาก็โลกของเขา นี่จักรวาลมันเคลื่อนไป ดวงดาวมันชนกัน นี่อุกกาบาตชนโลก เรากลัวโลกจะพัง
นี่ก็เหมือนกัน เราอยู่ด้วยกัน การกระทบกระเทือนกัน นี่อุกกาบาตมันชนกันแล้วนะ รักษาไว้ เราหลบหลีกของเราเอง แล้วรักษาใจของเราไว้จนกว่าอุกกาบาตนั้นมันชนโลก แต่เราไปคว่ำแกนกลางจักรวาลทั้งหมดเลย เราควบคุมจักรวาลได้ทั้งหมดเลย เรามีความสุขขนาดไหน นี่คือผลงานของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เอวัง